ในช่วงหน้าร้อนของประเทศไทย ผลไม้หลากหลายชนิดออกสู่ตลาดอย่างเต็มที่ ทั้งรสชาติหวานฉ่ำ กลิ่นหอมชวนลิ้มลอง และสีสันสดใสน่ารับประทาน แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบคือ ผลไม้หลายชนิดที่ดูเหมือนจะมีประโยชน์และเป็นตัวเลือกเพื่อสุขภาพ กลับกลายเป็นภัยร้ายแรงสำหรับผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะไตเสื่อมหรือไตวายเรื้อรัง
เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้โพสต์เฟซบุ๊กในชื่อ “หมอเจด” เพื่อเตือนภัยเกี่ยวกับผลไม้ 5 ชนิดที่ผู้ป่วยโรคไตควรหลีกเลี่ยง โดยเน้นย้ำถึงอันตรายที่แฝงมากับผลไม้ที่หลายคนเข้าใจผิดว่ามีประโยชน์โดยไม่มีข้อจำกัด
โพแทสเซียม: ภัยเงียบที่แฝงมากับความอร่อย
โพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายต้องการ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไต มันกลับกลายเป็น “ภัยเงียบ” ที่อันตรายถึงชีวิต เนื่องจากไตที่ทำงานบกพร่องไม่สามารถขับโพแทสเซียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงเกินไป (ภาวะ Hyperkalemia) จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ และในกรณีรุนแรง อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้
ผู้ป่วยโรคไตจึงจำเป็นต้องควบคุมการบริโภคอาหารและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ทั้งนี้ ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีข้อจำกัดในการบริโภคโพแทสเซียมที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรคไตและคำแนะนำจากแพทย์ผู้ดูแล
5 ผลไม้อันตรายสำหรับผู้ป่วยโรคไต
1. แก้วมังกร: ความหวานที่ซ่อนพิษร้าย
แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้รักสุขภาพ ด้วยคุณสมบัติที่มีน้ำตาลต่ำและมีกากใยสูง ทำให้หลายคนเข้าใจว่าเป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพโดยไม่มีข้อจำกัด แต่ความจริงที่น่าตกใจก็คือ ในเนื้อแก้วมังกรมีปริมาณโพแทสเซียมสูงมาก
เพียงแค่รับประทานแก้วมังกรประมาณ 4 ชิ้นขนาดกลาง คุณจะได้รับโพแทสเซียมถึง 271 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงเกินไปสำหรับผู้ป่วยโรคไต การบริโภคแก้วมังกรในปริมาณดังกล่าวจะเพิ่มภาระให้กับไตที่ทำงานบกพร่องอยู่แล้ว และอาจนำไปสู่ภาวะโพแทสเซียมคั่งในเลือด ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
2. กล้วยน้ำว้า: ผลไม้พื้นบ้านที่แฝงอันตราย
กล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้พื้นบ้านที่หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง และอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไต กล้วยน้ำว้ากลับกลายเป็นผลไม้ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
การรับประทานกล้วยน้ำว้าเพียง 2 ผลขนาดกลาง จะทำให้ได้รับโพแทสเซียมถึง 240.83 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าสูงมากสำหรับผู้ที่มีไตทำงานบกพร่อง หากไตไม่สามารถขับโพแทสเซียมส่วนเกินออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระดับโพแทสเซียมในเลือดจะสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
3. ลิ้นจี่: ความหวานฉ่ำที่แฝงความเสี่ยง
ลิ้นจี่เป็นผลไม้ยอดนิยมในช่วงหน้าร้อน ด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยว กรอบและฉ่ำน้ำ ทำให้รู้สึกสดชื่นเมื่อรับประทาน แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่ทราบคือ ลิ้นจี่ไม่เพียงแต่มีน้ำตาลสูงเท่านั้น แต่ยังมีปริมาณโพแทสเซียมสูงอีกด้วย
การรับประทานลิ้นจี่ประมาณ 6-8 ผลขนาดกลาง จะทำให้ได้รับโพแทสเซียมถึง 213.50 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงเกินไปสำหรับผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภาวะไตเสื่อมร่วมกับโรคเบาหวาน การรับประทานลิ้นจี่ในปริมาณมากอาจทำให้ทั้งระดับน้ำตาลและโพแทสเซียมในเลือดสูงขึ้นพร้อมกัน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
4. แคนตาลูป: หอมหวานแต่แฝงภัย
แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่มีกลิ่นหอม เนื้อหวานนุ่ม และให้ความรู้สึกสดชื่นเมื่อรับประทานในช่วงอากาศร้อน แต่ผู้ป่วยโรคไตควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะแคนตาลูปมีปริมาณโพแทสเซียมสูงกว่าที่หลายคนคาดคิด
การรับประทานแคนตาลูปประมาณ 4-5 ชิ้น จะทำให้ได้รับโพแทสเซียมถึง 190 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าสูงสำหรับผู้ป่วยโรคไต โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่มักมีการดื่มน้ำมากและรับประทานผลไม้เพื่อคลายร้อน หากไม่ระมัดระวังปริมาณการบริโภค อาจทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นโดยไม่จำเป็น
5. ฝรั่ง: กรอบหวานแต่ซ่อนอันตราย
ฝรั่งเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติที่เนื้อกรอบ รสชาติหวานน้อย และมีวิตามินซีสูง ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดูเหมือนจะเหมาะสำหรับผู้รักสุขภาพ แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไต ฝรั่งก็เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ควรระมัดระวัง
การรับประทานฝรั่งประมาณ 4-5 ชิ้น จะทำให้ได้รับโพแทสเซียมถึง 174.60 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าสูงสำหรับผู้ที่มีไตทำงานบกพร่อง โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมชอบรับประทานฝรั่งเป็นของว่างตลอดทั้งวัน การสะสมของโพแทสเซียมจากการรับประทานฝรั่งในปริมาณมากอาจส่งผลเสียต่อการทำงานของไตในระยะยาว
ทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยโรคไต
แม้ว่าผู้ป่วยโรคไตจะต้องระมัดระวังในการเลือกรับประทานผลไม้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องงดผลไม้ทั้งหมด ยังมีผลไม้อีกหลายชนิดที่มีปริมาณโพแทสเซียมต่ำ ซึ่งสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย ได้แก่:
- แอปเปิ้ลเขียว – มีโพแทสเซียมต่ำและให้ความสดชื่นเมื่อรับประทาน
- ชมพู่ – ผลไม้พื้นบ้านที่มีโพแทสเซียมต่ำและหาซื้อได้ง่าย
- ชมพู่มะเหมี่ยว – รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ให้ความสดชื่นและมีโพแทสเซียมต่ำ
- สาลี่ – เนื้อกรอบ รสชาติหวานและมีโพแทสเซียมในระดับที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยโรคไต
อย่างไรก็ตาม การรับประทานผลไม้แม้จะเป็นชนิดที่มีโพแทสเซียมต่ำ ก็ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากเกินไปในคราวเดียว เพื่อป้องกันการสะสมของโพแทสเซียมในร่างกาย
ข้อแนะนำสำหรับการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคไต
นอกจากการระมัดระวังในการเลือกรับประทานผลไม้แล้ว ผู้ป่วยโรคไตควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้เพื่อการดูแลสุขภาพที่ดี:
- ปรึกษาแพทย์และนักโภชนาการ – ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการที่ดูแลเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะของโรค
- ตรวจวัดระดับโพแทสเซียมในเลือดอย่างสม่ำเสมอ – การติดตามระดับโพแทสเซียมในเลือดอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ทราบถึงประสิทธิภาพของการควบคุมอาหารและการรักษา
- ศึกษาปริมาณโพแทสเซียมในอาหารและผลไม้ – การเรียนรู้เกี่ยวกับปริมาณโพแทสเซียมในอาหารและผลไม้ชนิดต่าง ๆ จะช่วยให้สามารถเลือกรับประทานได้อย่างเหมาะสม
- รับประทานอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ – แม้จะเป็นอาหารหรือผลไม้ที่มีโพแทสเซียมต่ำ ก็ไม่ควรรับประทานในปริมาณมากเกินไป
- ดื่มน้ำในปริมาณที่แพทย์แนะนำ – การดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้ไตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บทสรุป
ผลไม้เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารที่สำคัญสำหรับร่างกาย แต่สำหรับผู้ป่วยโรคไต การเลือกรับประทานผลไม้อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ผลไม้ 5 ชนิดที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ แก้วมังกร กล้วยน้ำว้า ลิ้นจี่ แคนตาลูป และฝรั่ง เนื่องจากมีปริมาณโพแทสเซียมสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ที่มีไตทำงานบกพร่อง
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคไตยังสามารถเลือกรับประทานผลไม้ที่มีโพแทสเซียมต่ำ เช่น แอปเปิ้ลเขียว ชมพู่ ชมพู่มะเหมี่ยว และสาลี่ ได้อย่างปลอดภัย โดยคำนึงถึงปริมาณที่เหมาะสม
ทั้งนี้ การดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคไตควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หากมีข้อสงสัยหรือไม่แน่ใจว่าควรรับประทานอาหารหรือผลไม้ชนิดใด ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการที่ดูแลเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะของโรค การดูแลสุขภาพอย่างถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคไตมีคุณภาพชีวิตที่ดีและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น